เข้าหน้าฝนแล้ว ใบปัดน้ำฝนย่อมมีโอกาสถูกใช้งานได้บ่อยมากกว่าปกติ หากที่ปัดน้ำฝนดัง ไม่สะอาด ปัดแล้วสะดุด นอกจากจะน่ารำคาญแล้ว ที่สำคัญยังทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่ลดลง หรือพูดง่าย ๆ ว่ามองทางได้ไม่ชัด ซึ่งปัญหาเล็กน้อย "เป็นอันตรายมาก" แต่แก้ไขได้ง่าย เราลองมาดูกันว่าสาเหตุเหล่านี้เกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง เพื่อให้ขับรถได้อย่างปลอดภัยตลอดหน้าฝน
ยางปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพ
สาเหตุหลักที่ใบปัดน้ำฝน ปัดไม่สะอาด ส่วนใหญ่มาจากยางใบปัดเสื่อมสภาพ เนื้อยางจะแข็งตัว ไม่สามารถกวาดน้ำบนกระจกได้ดี อีกทั้งยังส่งเสียงดังกว่ายางใหม่ที่มีความอ่อนนุ่มกว่า ทั้งนี้อาจเกิดจากอายุการใช้งาน รวมถึงสภาพแวดล้อม เช่น แสงแดด เศษฝุ่น ทำให้ขอบยางใบปัดไม่เรียบ
ยางปัดน้ำฝนไม่ได้คุณภาพ
กระจกสกปรก แม้ดูใส ๆ ต้องขัด
ในแต่ละวัน กระจกหน้ารถจะต้องผจญกับเศษฝุ่น เศษละอองต่าง ๆ ในอากาศ ซึ่งบางครั้งเราไม่ทันได้มองเห็น หรือสังเกตได้ยากด้วยตาเปล่า ส่งผลให้ผิวหน้ากระจกสกปรกหรือมีคราบฝังแน่นเกาะติดอยู่ เมื่อเปิดที่ปัดน้ำฝนแล้วจึงทำให้ปัดไม่สะอาด และถ้าหากคราบสกปรกแข็งตัวมาก กว่าจะอ่อนตัวหรือถูกปัดออกหมด ก็ทำลายยางใบปัดน้ำฝนไปแล้วด้วย บ่อยครั้งเข้าก็ทำให้ปัดไม่สะอาดในที่สุด
ปัญหามาจากน้ำฉีดล้างกระจกหรือน้ำยาเช็ดกระจก
การเติมน้ำยาที่ไม่ได้ถูกผลิตมาเพื่อล้างกระจกโดยเฉพาะ บางครั้งก็เป็นตัวการทำให้ใบปัดน้ำฝน ปัดแล้วสะดุด รวมถึงน้ำยาเคลือบกันน้ำเกาะกระจกที่ไม่ได้คุณภาพก็ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ไม่ควรนำน้ำยาขัดเคลือบรถมาขัดกระจก หรือหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าผืนเดียวกัน (แม้ทำความสะอาดแล้ว แต่ตัวน้ำยาอาจเกาะอยู่) เช็ดกระจก
ก้านสปริงที่ปัดน้ำฝนเสื่อม
ไม่เพียงแค่ยางใบปัดน้ำฝนเท่านั้นที่ส่งผลต่อความสะอาด แต่สปริงก้านปัดน้ำฝนก็มีส่วนเช่นกัน เนื่องจากในก้านปัดจะมีสปริงคอยกดให้หน้ายางสัมผัสกับกระจกบังลม หากสปริงเสื่อมสภาพ จะทำให้แรงกดน้อยลง ปัดได้ไม่สะอาด ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็น ไม่ควรยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ๆ เพราะทำให้ตัวสปริงล้า ซึ่งก้านใบปัดน้ำฝนทั้งอันราคาแพงกว่ายางปัดน้ำฝนมาก
ขอย้ำว่าที่ปัดน้ำฝนเป็นสิ่งจำเป็นและส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ทุกฤดู ไม่เฉพาะหน้าฝนเท่านั้น จึงไม่ควรปล่อยไว้ให้เป็นปัญหา หมั่นดูแลและแก้ไข อีกทั้งอุปกรณ์เหล่านี้ราคาไม่สูง อย่ารอให้ตกอยู่ในสถานการณ์ขับขัน เพราะอันตรายไม่คุ้มเสี่ยงเลยแม้แต่น้อย